โครงงานคอมพิวเตอร์
เรื่อง
: โรคเอดด์
กลุ่มสาระการเรียนรู้
: การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ประเภทโครงงาน
: โครงงานพัฒนาเพื่อการศึกษา
ผู้จัดทำ
: 1.เด็กหญิงสกุณา บุญมีรอด
2.เด็กหญิง
ครูที่ปรึกษา
: อาจารย์กนิษฐา หมั่นกิจการ
บทที่ 1
1. ที่มาและความสำคัญ
เนื่องจากโรคเอดส์ในปัจจุบันมีการติดเชื้อได้ง่ายเช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน จากมารดาสู่ทารก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ปัญหาตามมาคือการติดเชื้อ HIV เพราะปัจจุบันเชื้อมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน ปัจจุบันยังไม่มีตัวยาที่สามารถรักษาให้หายขาดจากโรคเอดส์ได้
ตัวเรามีวิธีการป้องกันและปฏิบัติตนดังนี้
1. ไม่สำส่อนทางเพศ
2. ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
3. การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
4. รักเดียว ใจเดียว
5. ก่อนมีบุตรควรตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และขอคำปรึกษาเรื่องโรคเอดส์จากแพทย์ก่อน
วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการติดต่อของโรคเอดส์
2.เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้รอดพ้นจากโรคเอดส์
3.เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้แก่ผู้อื่นได้
2. ขอบเขตการศึกษา
ในการศึกษาค้นคว้าโครงงานสุขศึกษาเรื่องมารู้จักโรคเอดส์กันเถอะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดพวงนิมิต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้วเขต 1 ขอบเขตด้านเนื้อหา
เนื้อหาที่ใช้ทำโครงงานนี้เป็นเรื่องที่เรียนในมัธยมศึกษาปีที่ 3
ขอบเขตด้านประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนวัดพวงนิมิต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใช้ การทำโครงงานครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2556
3. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการติดต่อของโรคเอดส์
2.เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้รอดพ้นจากโรคเอดส์
3.เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้แก่ผู้อื่นได้
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
โรคเอดส์ในวัยรุ่น
สาเหตุ เกิดจากเชื้อ เอชไอวี ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ เพิ่งมีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ. 2526 เชื้อนี้ มีมากในเลือด น้ำเชื้ออสุจิ และน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ จึงสามารถแพร่เชื้อได้โดย
1. ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน (ในชายรักร่วมเพศ, เกย์)
2. ทางเลือด เช่น การได้รับการถ่ายเลือด, การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีเชื้อ, การแปดเปื้อนผลิตภัณฑ์ จากเลือด, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้นส่วนการใช้ของมีคม (เช่นใบมีดโกน ที่ตัดเล็บ) ร่วมกับ ผู้ติดเชื้อ การสักการเจาะหู อาจมีโอกาสแปดเปื้อนเลือดที่มีเชื้อได้ แต่จะมีโอกาสติด โรคได้ ก็ต่อ เมื่อมีแผลเปิด และปริมาณเลือด หรือน้ำเหลืองที่เข้าไปใน
ร่างกายมีจำนวนมากพอ
3. การติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ตั้งแต่ระยะอยู่ในครรภ์ ระยะคลอด และระยะเลี้ยงดูหลัง คลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดา ประมาณ20-50% จากการศึกษาในประเทศต่าง ๆ เท่าที่ผ่านมา ไม่พบว่ามีการติดต่อเกิดขึ้น
ติดต่อโดยสาเหตุ เกิดจากเชื้อ เอชไอวี ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ เพิ่งมีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ. 2526 เชื้อนี้ มีมากในเลือด น้ำเชื้ออสุจิ และน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ จึงสามารถแพร่เชื้อได้โดย
1. ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน (ในชายรักร่วมเพศ, เกย์)
2. ทางเลือด เช่น การได้รับการถ่ายเลือด, การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีเชื้อ, การแปดเปื้อนผลิตภัณฑ์ จากเลือด, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้นส่วนการใช้ของมีคม (เช่นใบมีดโกน ที่ตัดเล็บ) ร่วมกับ ผู้ติดเชื้อ การสักการเจาะหู อาจมีโอกาสแปดเปื้อนเลือดที่มีเชื้อได้ แต่จะมีโอกาสติด โรคได้ ก็ต่อ เมื่อมีแผลเปิด และปริมาณเลือด หรือน้ำเหลืองที่เข้าไปใน
ร่างกายมีจำนวนมากพอ
3. การติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ตั้งแต่ระยะอยู่ในครรภ์ ระยะคลอด และระยะเลี้ยงดูหลัง คลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดา ประมาณ20-50% จากการศึกษาในประเทศต่าง ๆ เท่าที่ผ่านมา ไม่พบว่ามีการติดต่อเกิดขึ้น
– การหายใจ ไอ จามรดกัน– การกินอาหาร และดื่มน้ำร่วมกัน– การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
– การใช้ห้องน้ำร่วมกัน– การอยู่ในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ– การสัมผัส โอบกอด– การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน– การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน
– การถูกยุง หรือแมลงกัด
เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีการเพิ่มจำนวน สามารถแยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบแอนติเจนได้หลังติดเชื้อ 2 – 6 สัปดาห์ และจะตรวจพบแอนติบอดีได้ หลังติดเชื้อ 3 – 12 สัปดาห์ผู้ที่มีเลือดบวก (มีแอนติบอดี) 90% จะมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด ซึ่งสามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม
ลักษณะอาการ เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่จำนวนของ เชื้อ และระดับภูมิต้านทานของร่างกาย ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกันดังนี้
1. ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวี ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวี จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างแอนติบอดี กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต บางคน อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือ มีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์
แล้วหายไปได้เอง เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัดไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจ ซื้อยารักษาเอง หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อประมาณ 30-50%อาจไม่มีอาการดังกล่าวเลยก็ได้
2. ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่การตรวจเลือดจะ พบเชื้อเอชไอวี และแอนติบอดีต่อเชื้อชนิดนี้ และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่า เป็น “พาหะ” ของโรค ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางคนอาจนานกว่า 15 ปี
3. ระยะติดเชื้อที่มีอาการ ระยะนี้แต่ก่อนเรียกว่า “ระยะที่มี อาการสัมพันธ์กับเอดส์” มักจะมีอาการคล้ายโรค
อื่น ๆ จนไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นเอดส์ก็ได้ อาจพบ อาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน– มีไข้เกิน 37.8 ํ ซ. เป็นพัก ๆ หรือติดต่อกันทุกวัน– ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง
– น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว– ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน– เชื้อราในปาก– ฝ้าขาว ในช่องปากจากเชื้อไวรัสเอปสไตน์บาร์ มักอยู่ที่ด้านข้างของลิ้นมี ลักษณะเป็นฝ้า คล้ายโรคเชื้อราแต่ขูดไม่ออก– โรคงูสวัด
4. ระยะป่วยเป็นเอดส์ ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ เป็นผลให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้น ทำ ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า “โรคติดเชื้อฉวย โอกาส” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียว หรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน ทำให้เกิดวัณโรค ปอด, ปอดอักเสบ, สมองอักเสบ , เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร (เจ็บคอ กลืนลำบาก ท้องเดิน)
เป็นต้น ผู้ป่วยเอดส์ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งของหลอดเลือดที่เรียกว่า เห็นเป็นตุ่ม หรือผื่นสีม่วงที่ผิวหนัง หรือเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองภายในช่องปาก หรืออวัยวะภายใน ก็ได้, มะเร็ง8ต่อมน้ำเหลือง ในสมอง เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า AIDS dementia complex (ADC) ทำให้มีอาการทางจิตประสาท ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ ซึมเศร้า คลุ้มคลั่ง เป็นต้น บางคนอาจมีอาการแขนขาชา อัมพาต ชักกระตุกได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น